หมอ บี คือ ใคร?
ถ้าจะพูดถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการเรื่องราวลี้ลับที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศ ไม่สามารถที่จะไม่พูดถึง นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือที่เรียกกันว่า “หมอบี” ผู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราบปรามผีและการค้นหาสิ่งลี้ลับที่ไม่เห็นได้ทั่วโลก ชื่อเสียงของเขามีความโด่งดังและเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงการนี้ทั้งหมด มารู้จักเขาคนนี้ให้มากขึ้นกับ beefdaily.com.vn ผ่านบทความ “หมอบีคือใคร?”

I. หมอ บี คือ ใคร?
1. ที่มาของคำว่า “ทูตสื่อวิญญาณ” คืออะไร ?
เริ่มต้นต้นของการเป็น “ทูตสื่อวิญญาณ” ของหมอบีเกิดขึ้นจากพี่คนหนึ่งที่ตั้งชื่อให้เขา แม้ว่าชื่อนั้นไม่มีความหมายที่ผิดปกติอย่างน่ากลัว แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นที่รู้จักในวงการเรื่องราวลี้ลับในนามของ “ทูตสื่อวิญญาณ” ซึ่งมาจากการที่หมอบีอยู่กับ “หลวงพ่ออลงกต” มาก่อน ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีพี่คนหนึ่งในวงการทำเรื่องเกี่ยวกับผีและวิญญาณมาขอถ่ายทำรายการที่ “วัดพระบาทน้ำพุ” หลังจากที่ได้ถ่ายทำรายการเสร็จในครั้งนั้น มูลนิธิบ้านอารีย์ได้จัดงานเพื่อเชิญพี่คนนั้นมาร่วมงาน และเพื่อนที่อยู่ในงานนั้นได้บอกกับพี่คนนั้นว่าเขามีความสามารถในการสื่อสารกับวิญญาณได้ พี่คนนั้นจึงได้ลองของโดยการชวนไปถ่ายรายการไลฟ์สดเกี่ยวกับวิญญาณที่จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่นั้นก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในมุมมืดๆก่อน
2. “หมอบี” เห็นผีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
ตามที่เขาแชร์, พ่อแม่ของเขาเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องในงานศาสนาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ๆ หากพ่อของเขาไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ถามมา แม่ของเขาก็จะเล่าให้ฟังและแบบเดียวกัน ถ้าเป็นไปได้เหมือนกัน พ่อแม่ของเขาจะเล่าให้ฟังเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ๆ
II.ชาวเน็ตขุด หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ เคยเตือนชายคนหนึ่ง คนโยง กระทิง
คลิปนี้ได้รับความสนใจจากชุมชนเว็บไซต์ในประเทศไทยหลังจากเพจดังกล่าวได้เปิดเผยชื่อดาราช่อง 3 ที่เกี่ยวข้องกับคดีแชร์ Forex 3D ซึ่งได้รับความสนใจในช่วงนั้น และคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกตัดออกเมื่อหมอบีเตือนไว้ก่อนว่า
“เตือนผู้ชายคนหนึ่ง ที่เกิดวันที่ 21 มีนา ปี 95 เคยเป็นนักบาสด้วย รู้ประมาณนี้นะ อยู่ ม.3/4 รู้เยอะไปมั้ย ผมกลัวว่าเขาใช้ชีวิตแบบประมาทแต่ด้วยความจริงผมไม่รู้จริงๆ ว่าเขาคือใครนะ ไม่แน่ใจ แต่เข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับที่นี่ น่าจะเคยเป็นนักบาสตอนเรียน”

III.คำถามที่เกี่ยวข้องกับ หมอ บี คือ ใคร?
1.”หมอบี” ทำตรงนี้มานานหรือยัง ?
หมอบี : “นานครับ จริง ๆ ถ้าเริ่มแต่แรกเลย ก็ตั้งแต่ประมาณมัธยมปลาย ราว ม. 5 – ม.6 อายุราว ๆ 17-18 ปี ในตอนนั้น จากนั้นก็ทำมานานจนเริ่มมีคนรู้จักบ้าง”
2. “หมอบี” เคยกลัวผีมั้ย?
หมอบี : “ไม่กลัวครับ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ไม่มีของดีอะไรนะครับ แต่แค่ไม่กลัวเฉยๆ“
3. “หมอบี” มีโอกาสได้ช่วยเหลือเคสเกี่ยวกับเรื่องราวลี้ลับมามากมาย สิ่งที่ได้จากการช่วยเหลือเคสคืออะไร ?
หมอบี : “เห็นความปกติธรรมชาติของมนุษย์ ที่มีความทุกข์ในรูปแบบต่างๆ การพลัดพรากสูญเสียการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แต่บางทีใจมนุษย์ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็มีการต่อต้านหรือพยายามจะทำอะไรบางอย่างที่ให้มันได้ดั่งใจ ตามที่ใจคิด ซึ่งบางทีมันไม่ใช่ ซึ่งมันก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง”
4. สำหรับ “หมอบี” คิดว่าเคสที่มีโอกาสได้ไปช่วยเหลือ เคสแบบไหนที่รู้สึกว่าเหนื่อยมากที่สุด ?
หมอบี : “เหนื่อยกับคนครับ เพราะทุกครั้งที่เขาขอให้ไปช่วยเหลือ เวลาผมช่วยผมก็จะช่วยอย่างเต็มที่ เท่าที่กำลังเราจะทำได้แต่เรา ไม่สามารถให้สูตรสำเร็จ หรือพิธีกรรมอะไรบางอย่าง ที่มันเปรี้ยงแล้วจบเลยใช่เลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งบางครั้งเขาไม่ฟัง พอไม่ฟังแล้วยังจะทำสิ่ง ๆ นั้นอย่างนั้นอยู่ แต่ต้องการให้ผมเดินเข้าไปแล้วเสกให้หายเลย ซึ่งผมทำให้ไม่ได้ แรกๆก็มีความพยายามที่จะช่วยอย่างถึงที่สุด แต่หลัง ๆ ก็รู้สึกว่าช่างมัน ถ้าเขาไม่ก็คือไม่”
5. ที่ผ่านมา “หมอบี” ช่วยเหลือเคส จนประสบความสำเร็จมาแล้วคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้เท่าไหร่ ?
หมอบี :” เออ ผมก็ไม่เคยคิด แต่ว่ามันก็อาจจะเป็นกำลังใจเล็ก ๆ แล้วกัน ที่มัน รู้สึกว่าหลาย ๆคน บางทีก็คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราด้วย คนรอบข้างเราด้วย จากที่เคยเชื่ออะไรแปลก ๆ หรือว่ามีชีวิตที่แย่แล้วดีขึ้น ในสิ่งที่เขาทำเองนะ ผมไม่ได้ทำอะไร สิ่งที่เขาทำตัวเขาเอง เขาดีขึ้นเขามีทิศทางที่มันถูกต้องมากขึ้น มีสัมมาทิฏฐิมากขึ้น แค่นี้ผมก็ชื่นใจแล้วครับ”
6.”หมอบี” ไม่ใช่หมอดู ไม่ใช่นักทำนาย ?
หมอบี : “ผมไม่ใช่หมอดูครับ เพราะฉะนั้นผมจะไม่ได้มาแบบว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างนั้นคนนั้นต้องมาเป็นอย่างนี้ ช่วงเวลานี้ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่ เราแค่พูดตามหลักเหตุและปัจจัย ตามที่มาที่ไปและข้อมูลที่เราได้มาอย่างถูกต้อง แค่นั้นแหละครับ”
7.สิ่งที่ “หมอบี” พยายามสื่อให้คนเลิกเชื่อในสิ่งลี้ลับ แล้วมีคนเชื่อและทำตามรู้สึกอย่างไร?
หมอบี :” อันนี้เป็นสิ่งที่ดีครับ เป็นเรื่องที่แฮปปี้มาก ถ้าคนๆนั้นทำได้ มันก็มีหลายคนที่เขาตั้งใจฟังเราจริงๆ ฟังในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารจริงๆ บางคนก็เลิกถามไปเลยเหมือนแบบ เขาเอาสิ่งที่เราพูดบอกไปปรับใช้ในชีวิตจริง แล้วมันได้คำตอบจริง ๆ เขาก็เลิกถาม เลิกยุ่งกับเรื่องพวกนั้นอีกเลยแล้วก็ใช้ชีวิต เป็นสุขมากขึ้นซึ่งอันนี้โอเค แต่อาจจะน้อยหน่อยเท่านั้นเอง”